วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่นักเรียนสนใจ (3) เวย์โปรตีน

ภาพจาก http://men.kapook.com/view62767.html
เวย์ โปรตีน (Whey Protein)
เวย์โปรตีนนั้นเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง อุดมด้วย BCAAs และกรดอะมิโนครบถ้วนทั้ง 20 ชนิด เป็นโปรตีน ที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถ ดูดซึมไปใช้สร้างกล้ามเนื้อได้อย่างรวดเร็ว ช่วยเสริมสร้างมัดกล้าม เนื้อให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและช่วยซ่อมแซม กล้ามเนื้อที่สูญเสียไปขณะออกกำลังกายอย่างหนักได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ

เวย์โปรตีน คือ โปรตีนที่สกัดได้มาจากนมวัว โดยนำน้ำนมวัวที่คัดแยก จากกระบวน การทำเนยแข็งมา สกัดส่วนที่เป็น คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ออกให้เหลือส่วนที่เป็นโปรตีนบริสุทธิ์ที่เข้มข้นจากนั้นนำมาผ่านกระบวน การทำให้แห้งเพื่อให้อยู่ ในรูปผงพร้อมชงดื่ม เวย์โปรตีน ทั่วไปแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่

เวย์โปรตีน คอนเซนเตรท ( Whey Protein Concentrate : WPC) ขบวนการผลิต WPC ได้จากการนำ เวย์ที่ได้ในขบวนการผลิต ขั้นต้น มาผ่านการกรอง Ultrafiltration หรือกระบวนการอื่นๆ เพื่อแยกแลกโตสและไขมันที่มีผสมอยู่มากออกไป แล้วทำให้แห้ง ผงเวย์โปรตีนที่ได้จะมีความเข้มข้นของเวย์โปรตีนประมาณมาก กว่า 29-89% โดยน้ำหนัก มีลักษณะเป็นผงสีครีมอ่อนและมีกลิ่น รสตามธรรมชาติแบบนม WPCที่สกัดได้จะอุดมไปด้วยกรดอะมิโนครบถ้วนทั้ง20ชนิดมีกรด อะมิโนจำเป็นครบถ้วนทั้ง 8 ชนิดที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ และ ยังมี Branched-chain amino acid สูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มระดับ Growth Hormone ช่วยเพิ่มการสังเคราะห์โปรตีนและไกลโคเจน เพื่อช่วยเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อ และ WPC ยังมี Bioactive compound สูง ช่วยป้องกันการติดเชื้อและเพิ่มภูมิคุ้มกัน ได้อีกด้วย

เวย์โปรตีน ไอโซเลต ( Whey Protein Isolate : WPI ) ได้จากการนำ WPC มาผ่านกระบวนการผลิตเพิ่มเติมคือ Ion-exchange (IE) หรือ Cross-flow microfiltration (CFM) เพื่อแยกเอาแลกโตสและไขมันที่ ยังคงมีผสมอยู่บ้างออกไปอีก ทำให้ความเข้มข้นของเวย์โปรตีนสูงขึ้น คือมากกว่า 90% กระบวนการ IE ใช้วิธีแยกโมเลกุลของสารต่างๆ ออกจากกันโดย อาศัยประจุไฟฟ้า บนโมเลกุลที่ต่างกัน สามารถทำให้เวย์โปรตีนบริสุทธิ์ ได้มากที่สุด โดยอาจทำให้มีความเข้มข้นของเวย์โปรตีนได้ถึง 97-98% โดยน้ำหนักแห้ง แต่กระบวนการ CFM ซึ่งใช้ตัวกรองที่ทำจากเซรามิก สามารถรักษาโปรตีนชนิดย่อยๆ ที่มีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ ไว้ได้ดีกว่า และมีปริมาณเกลือโซเดียมน้อยกว่าเวย์โปรตีนที่ผ่านกระบวนการ IE WPI มีลักษณะเป็นผงสีครีมอ่อนและมีกลิ่นรสธรรมชาติแบบนมเช่นกัน ราคาแพงกว่า WPC

เวย์โปรตีน ไฮโดรไลซ์ ( Hydrolysed Whey Protein : HWP) คือ WPCหรือ WPI ที่ถูกผ่านกระบวนการ hydrolyze ทำให้โมเลกุลของเวย์ โปรตีนที่มีขนาดใหญ่มากถูกย่อยจนอยู่ในรูปของโมเลกุลเล็กๆ ที่เรียกว่า peptides และบางส่วนถูกย่อยลงไปจนถึงขั้นกรดอะมิโนเลย ทีเดียว มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ว่าโปรตีนที่อยู่ในรูปของ peptides สั้นๆ ถูกร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ดีกว่าในรูปโมเลกุลใหญ่ๆ และดีกว่ากรดอะม โนอิสระ จึงเชื่อกันว่า HWP เป็นเวย์โปรตีนที่ถูกย่อยและดูดซึมได้เร็วที่สุด นอกจากนี้ HWP ยังมีโอกาสทำให้เกิดการแพ้โปรตีนน้อยลงกว่าเวย์โปรตีน ชนิดอื่นๆ ด้วย จึงมักใช้ในสูตรนมสำหรับทารกหรือในทางการแพทย์เพื่อ จุดประสงค์พิเศษต่างๆ ข้อเสียของ HWP คือมีรสชาติที่ขมมาก ในกระบวนการ hydrolyze อาจทำลายโปรตีนชนิดย่อยๆ ที่มีคุณสมบัติพิเศษต่างบางตัวไป และ มีราคาแพง ดังนั้นเวย์โปรตีนชนิดที่เป็น HWP 100% จึงไม่มีวางขาย ตามท้องตลาด แต่เวย์บางยี่ห้อนำ HWP มาผสมกับเวย์โปรตีนชนิดอื่น มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่สูตรของผู้ผลิตเพื่อเพิ่มข้อดีบางประการดังกล่าว แต่ราคาก็จะเพิ่มขึ้นด้วย โดยปกติเวย์โปรตีนที่วางขาย มักมี HWP ผสมอยู่ ไม่เกิน 20% เพราะรสชาติที่ขม

วิธีการกินเวย์
ในการทานเวย์โปรตีนนั้นอยากให้ทำความเข้าใจไว้ว่า เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมโปรตีนที่เราต้องการในแต่ละวันเท่านั้นโดยปกติแล้วความต้องการโปรตีนของคนปกติจะอยู่ที่ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เพราะฉะนั้นเราควรคำนวนการทานโปรตีนในอาหารหลักของเราให้พอดีในแต่ะวัน และทานเวย์โปรตีนวันละ 2-3 เสิร์ฟต่อวัน เพื่อให้มั่นใจว่าวันนั้นเราได้โปรตีนในปริมาณที่ครบถ้วนและมากพอในการสร้างกล้ามเนื้อ ปกติแล้วจะมีการแนะนำจำนวนในการทานอยู่ที่บริเวณด้านข้างกล่องของเวย์แต่ละยี่ห้อ แต่ส่วนมากนั้นจะอยู่ที่ 2-3 ช้อนต่อเสิร์ฟ

ขนาดการรับประทาน
ปริมาณโปรตีนที่ร่างกายคนปกติควรได้รับในแต่ละวัน คือ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมเช่น น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ควรได้รับโปรตีน 60 กรัมต่อวัน

ช่วงที่ได้ผลดีที่สุดในการรับประทาน

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานคือช่วงขณะออกกำลังกายภายในช่วง 2 ชั่วโมง แนะนำให้รับประทานก่อนออกกำลังกาย 30 นาทีหรือหลังออกกำลังกายภายใน2ชั่วโมงเพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมโปรตีนเข้าไปใช้เสริมสร้างกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดโดยผสม ผงเวย์โปรตีน 2 ช้อนตวงกับน้ำ หรือน้ำผลไม้ 300-400 มล. เขย่าให้เข้ากันก่อน รับประทาน


สุดท้ายนี้แม้เราจะไม่สะดวกในการกินเวย์ เนื่องจากเหตุผลต่างๆก็ตามสำหรับคนที่กำลังฟิตเพิ่มกล้ามเนื้อแต่ก็อย่าท้อไป เพราะทั้งนี้แล้วเรายังมีแหล่งโปรตีนมากมายจากธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นไข่หรือจำพวกถั่วนั่นเอง


ที่มา
http://www.safeenamecklai.com/2013/03/blog-post.html?m=1





วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Review/แนะนำ การใช้งานโปรแกรม
สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน ในวันนี้ผมจะมา Review เกมนึง ซึ่งเป็นเกมที่ผมชอบมาก นั่นก็คือ.... crossy road นั่นเอง เกมนี้เป็นเกมแนวทำลายสถิติโดยที่ตัวละครเราจะกระโดดอยู่บนถนน แล้วเราต้องคอยหลบสิ่งกีดขวางต่างๆนานา ในตัวเกมก็ไม่มีไรมาก ที่สำคัญ มีให้โหลดทั้ง ios และ android อีกด้วย เรามีดูกันดีกว่าว่าในเกมนี้มีอะไรบ้าง
เริ่มเข้าเกมมานั้นจะอยู่ในหน้าแบบรูปข้างบน วิธีเล่นนั้นก็ไม่ยากเลย แค่จิ้มไปที่หน้าจอ เท่านี้ตัวละครเราก็จะกระโดดไปข้างหน้าเรียบร้อย
เมื่อตัวละครเราชนสิ่งกีดขวางจำพวกต้นไม้แล้ว เราก็แค่ลากนิ่วไปทางซ้ายหรือขวา เท่านี้ตัวละครเราก็จะกระโดดไปตามนิ้วที่เราลากไปเป็นที่เรียบร้อย(ลากไปข้างหลังตัวละครก็จะกระโดดไปข้างหลังเหมือนกัน)
     
******คำเตือน******
เมื่อเราเล่นๆอยู่แล้วคิดจะไปทำกิจกรรมอย่างอื่น เราควรที่จะกดหยุดเกมชั่วขณะ ดังภาพทางซ้ายมือ ถ้าเราไม่หยุด แล้วปล่อยทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่ง เราจะโดนเหยี่ยวลากไปงาบเหมือนรูปทางขวา แล้วตายในที่สุด - -*
  
เมื่อเราเล่นไปถึงจุดนึงแล้วเกิดเราโดนรถชน T T ตายนั่นเอง อิอิ มันก็จะมีตัวเลือก2ตัวเลือกขึ้นมา นั่นคือ กดรับของขวัญ(รูปทางขวา) กับเปิดรับตัวละคร(รูปทางซ้าย)
     
และเมื่อเรากดเข้าไปที่กดรับตัวละคร หน้าจอเราก็จะขึ้นเหมือนทางรูปซ้ายมือจากนั้นให้เรากดไปตรงเลข100 นั่นคือใช้100เหรียญ(เงินในเกม) พอสุ่มตัวละครมาเสร็จ หน้าจอเราก็จะขึ้นเหมือนทางรูปขวามือ แล้วมีให้เรากด แชร์ เล่นต่อ หรือ สุ่มตัวละครต่อ ตามลำดับ
ในเกมนั้นมีตัวละครมากถึง 104 ตัวเลยทีเดียว ซึ่งบางตัวได้จากการสุ่มตัวละคร บางตัวก็ต้องทำภารกิจ(ภารกิจไม่มีบอกเราต้องเล่นไปมั่วๆเองผมก็ไม่เข้าใจทำไมไม่มีบอก 55555+) และบางตัวก็ต้องซื้อโดยใช้เงินจริงๆ
     
ต่อมานั่นคือในส่วนของการเปิดของขวัญ เมื่อเรากดเข้าไปจะมีรูปกล่องของขวัญ เมื่อเราเปิดเสร็จ มันก็จะมีบอกอีกเช่นกันว่าอีกกี่ชั่วโมงถึงจะได้รับของขวัญอีกครั้ง
และเมื่อเรารับของขวัญเสร็จ ก็จะมีภารกิจให้ทำซึ่งถ้าทำเสร็จภายในเวลาที่กำลัง(ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมง) เราก็จะได้รับของขวัญอีกครั้ง
เมื่อทำภารกิจเสร็จก็กลับไปกดรับของขวัญกันอีกครั้งเล้ยยยยยยยยย

สุดท้ายนี้แล้วเมื่อเราคิดจะเลิกเล่นเกมนี้(เกิดความเบื่อ) แต่ถ้าวันดีคืนดี เกิดเราอยากกลับมาเล่นแต่โหลดมาปุ๊บ แท่นแท๊นนนนนนนนน ตัวละครหายครับผม ไม่เป็นไร เพราะเรามีวิธีแก้ดังรูปด้านล่าง
นั่นคือให้เรา Login Facebook ของเราไว้นั่นเอง เผื่อวันนึงเรากลับมาเล่นตัวละครของเราจะยังคงอยู่

เป็นไงมั่งหละครับเกมนี้ น่าเล่นรึป่าวแต่ผมชอบนะ 55555+ สุดท้ายนี้ ก็ขออย่าเล่นเกมมากจนไม่ไปทำกิจกรรมอย่างอื่นเลยนะครับ ถ้ามีข้อมูลหรืออะไรที่ใส่ไม่ครบ ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ขอบคุณสำหรับทุกๆท่านที่กดเข้ามารับชม

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558


คอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ขอบคุณภาพจาก : http://koko633.exteen.com/images/60696computer.jpg

คอมพิวเตอร์ (computer) หรือเรียกว่า คณิตกรณ์ เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย
คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป
หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน
คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับ และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม

ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้ใช้วงจรเบ็ดเสร็จขนาดใหญ่มาก (very large scale integrated circuit) ซึ่งสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่าสิบล้านตัว เราสามารถแบ่งคอมพิวเตอร์ในรุ่นปัจจุบันออกเป็น 4 ประเภทดังต่อไปนี้
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก มีขนาดใหญ่ สามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านครั้งต่อวินาที และได้รับการออกแบบ เพื่อให้ใช้แก้ปัญหาขนาดใหญ่มากทางวิทยาศาสตร์และทางวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อมซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคำนวณหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจำสูง ดังนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จึงมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วยประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย จนถึงรุ่นที่มีหน่วยประมวลผลหลายหมื่นหน่วยซึ่งสามารถทำงานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มีสมรรถภาพที่ต่ำกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาก แต่ยังมีความเร็วสูง และมีประสิทธิภาพสูงกว่ามินิคอมพิวเตอร์หรือไมโครคอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์สามารถให้บริการผู้ใช้จำนวนหลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ฉะนั้น จึงสามารถใช้โปรแกรมจำนวนนับร้อยแบบในเวลาเดียวกันได้ โดยเฉพาะถ้าต่อเครื่องเข้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถใช้ได้จากทั่วโลก ปัจจุบัน องค์กรใหญ่ ๆ เช่น ธนาคาร จะใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ในการทำบัญชีลูกค้า หรือการให้บริการจากเครื่องฝากและถอนเงินแบบอัตโนมัติ (automatic teller machine) เนื่องจากเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ถูกใช้งานมากในการบริการผู้ใช้พร้อม ๆ กัน เมนเฟรมคอมพิวเตอร์จึงต้องมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก
มินิคอมพิวเตอร์ คือ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ๆ ซึ่งสามารถบริการผู้ใช้งานได้หลายคนพร้อม ๆ กัน แต่จะไม่มีสมรรถภาพเพียงพอที่จะบริการผู้ใช้ในจำนวนที่เทียบเท่าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ จึงทำให้มินิคอมพิวเตอร์เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลาง หรือสำหรับแผนกหนึ่งหรือสาขาหนึ่งขององค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น
ไมโครคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแบบขนาดตั้งโต๊ะ (desktop computer) หรือขนาดเล็กกว่านั้น เช่น ขนาดสมุดบันทึก (notebook computer) และขนาดฝ่ามือ (palmtop computer) ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มมีขึ้นในปีพ.ศ. 2518 ถึงแม้ว่าในระยะหลัง เครื่องชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพที่สูง แต่เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีขนาดกะทัดรัด ไมโครคอมพิวเตอร์จึงยังเหมาะสำหรับใช้ส่วนตัว ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ถูกออกแบบสำหรับใช้ที่บ้าน โรงเรียน และสำนักงานสำหรับที่บ้าน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการทำงบประมาณรายรับรายจ่ายของครอบครัวช่วยทำการบ้านของลูก ๆ การค้นคว้าข้อมูลและข่าวสาร การสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail หรือ E - mail) หรือโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต (internet phone) ในการติดต่อทั้งในและนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งทางบันเทิง เช่น การเล่นเกมบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สำหรับที่โรงเรียน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยสอนนักเรียนในการค้นคว้าข้อมูลจากทั่วโลกสำหรับที่สำนักงาน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยพิมพ์จดหมายและข้อมูลอื่น ๆ เก็บและค้นข้อมูล วิเคราะห์และทำนายยอดซื้อขายล่วงหน้า


เครือข่ายคอมพิวเตอร์คืออะไร?
การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทและความสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกับเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้น เพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง มีการแบ่งใช้งานอุปกรณ์และข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกันได้
สิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบข้อมูลมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น คือ การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกัน และการเชื่อมต่อหรือการสื่อสาร การโอนย้ายข้อมูลหมายถึงการนำข้อมูลมาแบ่งกันใช้งาน หรือการนำข้อมูลไปใช้ประมวลผลในลักษณะแบ่งกันใช้ทรัพยากร 
http://www.school.net.th/library/snet1/hardware/network.gif
เพิ่มคำอธิบายภาพขอบคุณภาพจาก:http://www.school.net.th/
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึงการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และการใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครือข่ายนั้น
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีองค์ประกอบที่สำคัญ เพื่อการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (File Server) ช่องทางการสื่อสาร (Communication Chanel) สถานีงาน (Workstation or Terminal) และ อุปกรณ์ในเครือข่าย (Network Operation System)
อุปกรณ์ในเครือข่าย
  1. การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย (Network Interface Card : NIC)
  2. โมเด็ม ( Modem : Modulator Demodulator)
  3. ฮับ (Hub) 
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Topology of LAN)
  • เครือข่ายแบบบัส (Bus Topology)
  • จะทำงานเหมือนกับรถบัสโดยสารประจำทางคอยวิ่งรับส่งผู้โดยสารจากจุดหนึ่งๆ ไปยังจุดหมายปลายทาง ในเครือข่ายแบบบัส จะไม่มีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ศูนย์กลายคอยควบคุมจัดการ ทุกเครื่องในเครือข่ายจะเชื่อมต่อเข้ากับช่องสื่อสารเส้นเดียวกัน อุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดในเครือข่ายสามารถสื่อสารส่งข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์ถึงกันได้โดยไม่จำเป็น ต้องมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ศูนย์กลาง ถ้ามีบางข่าวสารชนกัน อุปกรณ์ตัวนั้นจะหยุดชั่วขณะแล้วพยายามส่งใหม่
    ข้อดี คือ สามารถจัดการได้ทั้งเครือข่ายแบบ client/server และแบบ peer-to-peer
    ข้อจำกัด คือ จำเป็นต้องใช้วงจรสื่อสารและซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยเพื่อหลีกเลี่ยงการชนกันของสัญญาณข้อมูล และถ้ามีอุปกรณ์ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย อาจส่งผลให้ทั้งระบบหยุดทำงานได้
  • เครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Topology)
  • คือ ไมโครโปรเซสเซอร์ทุกเครื่องจะสื่อสารกันถายในเครือข่ายผ่านสายสัญญาณที่มีลักษณะเป็นวงแหวน สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จะถูกส่งวิ่งไป รอบวงแหวนจนกระทั่งไปถึงยังเครื่องปลายทางโดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์เป็นศูนย์กลาง โดยมีโทเคนซึ่งเป็นบิต แบบมีแบบแผนจะวิ่งไปรอบๆ วงแหวนทำหน้าที่พิจารณาว่าเครื่องใดในเครือข่ายจะ เป็นผู้ส่งสารสนเทศ
    ข้อดี ข่าวสารจะเคลื่อนที่เป็นลำดับไปในทิศทางเดียว ขจัดปัญหาการชนกันของสัญญาณ
    ข้อจำกัด ถ้าเครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่ายเสียหาย อาจทำให้ทั้งระบบหยุดทำงานได้
  • เครือข่ายแบบดาว (Star Topology)
  • คือ จะมีไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องศูนย์กลางแม่ข่าย ไมโครคอมพิวเตอร์ที่เหลือและอุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ ทั้งหมดจะเชื่อมต่อไปยังเครื่องแม่ข่ายโดยมีฮับ (HUB) เป็นอุปกรณ์คอยจัดการรับส่งข่าวสารจากเครื่องหนึ่งๆไปสู่เครื่องอื่นๆ สายสื่อสารจะเชื่อมต่อจากไมโครคอมพิวเตอร์เข้าสู่ฮับแยกไปแต่ละเครื่อง สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จะถูกส่งผ่านจากเครื่องหนึ่งผ่านฮับไปยังเครื่องปลายทาง ฮับจะคอยตรวจสอบลำดับการจราจรที่วิ่งไปมาในเครือข่าย
    ข้อดี ฮับจะทำหน้าที่คอยปกป้องการชนกันของข่าวสาร เมื่อเครื่องใดเครื่องหนึ่งเสียหาย ก็จะไม่มีผลกระทบต่อเครื่องอื่นๆทั้งระบบ
    ข้อจำกัด ถ้าฮับเสียหายจะทำให้ทั้งระบบต้องหยุดซะงัก และมีความสิ้นเปลืองสายสัญญาณมากกว่าแบบอื่นๆ
  • เครือข่ายแบบผสม (Hybrid Topology)
  • คือ เป็นเครือข่ายที่ผสมผสานกันทั้งแบบดาว,วงแหวน และบัส เช่น วิทยาเขตขนาดเล็กที่มีหลายอาคาร เครือข่ายของแต่ละอาคารอาจใช้แบบบัสเชื่อมต่อกับอาคารอื่นๆที่ใช้แบบดาว และแบบวงแหวน

  • เครือข่ายแบบFDDI (FDDI Topology)
  • คือ เครือข่ายความเร็วสูงรุ่นใหม่ Fiber Distributed Data Interface การเชื่อมต่อจะมีความเร็วประมาณ 100-200 เมกะบิตต่อวินาที เครือข่าย FDDI จะใช้สายใยแก้วนำแสงโดยแปลงจาก โทโปโลยีแบบวงแหวน เพียงแต่มีวงแหวน 2 วง นิยมใช้สำหรับงานด้านที่ต้องการเทคโนโลยีสูง เช่น วีดิทัศน์แบบดิจิทัล , กราฟิกความละเอียดสูง
    ข้อดี ความเร็วสูง มีเสถียรภาพ และความน่าเชื่อถือสูง เนื่องจากมีวงแหวน 2 วง ถ้าวงใดวงหนึ่งเสียหาย การสื่อสารยังสามารถดำเนินต่อไปได้ในวงแหวนที่เหลือ
    ข้อจำกัด ค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากใช้ใยแก้วนำแสง, อุปกรณ์และการจัดการเครือข่ายจะมีต้นทุนสูงกว่าโทโปโลยีอื่นๆ





    ที่มา




    วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

    วิเคราะห์ข้อสอบ O-NET วิชาคอมพิวเตอร์ 5ข้อ
    O-NET คือ การทดสอบการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน ซึ่งในภาษาฝรั่งก็คือ Ordinary National Education Test ที่จัดสอบโดย สทศ. ชื่อเต็มๆ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ ในชื่อภาษาอังกฤษ National Institute of Educational Testing Service ตัวย่อ NIETS โดย ที่ข้อสอบจะประกอบไปด้วยเนื้อหา 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่

    1. ภาษาไทย
    2. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
    3. ภาษาอังกฤษ
    4. คณิตศาสตร์
    5. วิทยาศาสตร์
    6. สุขศึกษาและพลศึกษา
    7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี(วิชาคอมพิวเตอร์จะรวมอยู่ในนี้)
    8. ศิลปะ
    และนอกจาก O-NET จะใช้เป็นตัววัดระดับการศึกษาของเด็กไทยแล้ว ยังเป็นคะแนนที่เด็กๆระดับชั้นต่างๆต้องนำไปใช้ในการสมัครเข้าเรียนระดับชั้นต่อไปด้วย ก็คือ ชั้น ป.6 และ ม.3 ต้องใช้คะแนน O-NET สมัครเข้าเรียน ม.1 และ ม. 4 โดยให้น้ำหนัก 20% และสำหรับ ม.6 ใช้คะแนน O-NET ในการสมัคร Admission 30%
    ขอบคุณภาพจาก:http://teen.mthai.com/
    และในครั้งนี้ ผมได้ทำการนำข้อสอบ O-NET วิชาคอมฯ มาวิเคราะห์ให้ดูกัน5ข้อ มีดังนี้

    1.การกระทำใดต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์
         1. การสร้างเวปไซต์ประมูลสินค้า
         2. ติดต่อสื่อสารผ่านโปรแกรม
         3. ค้นหาข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสืบค้น
         4. ซื้อสินค้าผ่านระบบพาณิชอิเล็กทรอนิกส์

    2.กำหนดให้ P,M,N เป็นเลขจำนวน และ P เป็นผลบวกของ M และ N ขั้นตอนการจำลองความคิดเป็นข้อความที่แสดงผลลัพธ์สุดท้ายของผลรวมของเลขจำนวน M และ N เป็นอย่างไร
         1. เริ่มตื่น                              2. เริ่มต้น
             รับค่า N,M                            ให้ P=N+M
             ให้ P=N+M                          รับค่า N,M
             พิมพ์ค่า P                            พิมพ์ค่า P
             จบ                                      จบ
         3. เริ่มต้น                              4. เริ่มต้น
             พิมพ์ค่า P                             รับค่า N,M
             รับค่า N,M                            พิมพ์ค่า P
             ให้ P=N+M                          ให้ P=N+M

    3.ข้อใดเป็นการนำระบบสารสนเทศและการสื่อสารข้อมูลมาใช้ในงานอย่างเหมาะสมและคุ้มค่าการลงทุน
         1. ใช้ในฟาร์มเลี้ยงปลาในกระชัง
         2. ใช้ทำบัญชีรายจ่ายส่วนบุคคล
         3. ใช้ในการปลูกผักในแปลงเกษตรดั้งเดิม
         4. ใช้ในการควบคุมการผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์ของโรงงาน

    4.การใช้งานคอมพิวเตอร์ต้องกำหนดรหัสแทนข้อมูลเช่นรหัสแอสกี(ASCII)เนื่องจากเหตุผลหลักข้อใด
         1. เพื่อสามารถเข้าใจชุดคำสั่ง
         2. เพื่อความรวดเร็วในการใช้งาน
         3. เครื่องคอมพิเตอร์ต้องประมวลชุดคำสั่งที่เขียนโดยภาษาโปรแกรม
         4. เพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อความระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์เป็นไปในแนวเดียวกัน

    5."การเตรียมวัตถุดิบในการผลิตกระดาษ โดยปอกเปลือกท่อนไม้ด้วยเครื่องปอกเปลือก ล้างท่อนไม้และส่งเข้าสู่เครื่องสับให้มีขนาดเล็ก แล้วคัดขนาดก่อนเข้าสู่การแยกเส้นใย" สิ่งใดที่จัดเป็นตัวป้อน(Input) ในระบบเทคโนโลยี
         1. ท่อนไม้
         2. เครื่องปลอกเปลือก
         3. เครื่องสับไม้
         4. น้ำที่ใช้ล้าง

    เฉลย
    ข้อ1. ตอบ1 
    เพราะการสร้างเวปไซต์ขึ้นมายังไม่จำเป็นต้องใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ แต่ข้อที่เหลือ
    ต้องนำข้อมูลมาค้นหาต่อยอมสัมพันธ์กันทำให้ต้องใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์

    ข้อ2. ตอบ1
    เพราะ P เป็นผลบวกของ M,N จึงได้สมการว่า P=N+M เราจึงต้องเริ่มต้นรับค่า N,M และให้ P=N+M 
    และพิมพ์ค่า P

    ข้อ3. ตอบ4 
    เพราะ ควบคุมการผลิต ต้องใช้ระบบสารสนเทศในการสื่อสาร,การเชื่อมโยงระบบเครือข่าย การจำหน่ายก็ต้องใช้ระบบสารสนเทศในการทำบัญชีการติดต่อซื้อขายก็เช่นกัน
    ส่วนข้อ 1 และ 3 ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบสารสนเทศก็ได้
    ส่วนข้อ 2 ทำบัญชีอย่างเดียวไม่คุ้มกับการลงทุน

    ข้อ4. ตอบ4 
    เพราะ ข้อ 1 ตอบไม่ได้เพราะคอมพิวเตอร์ก็มีชุดคำสั่งของคอมพิวเตอร์
    ข้อที่ 2 ตอบไม่ได้เพราะคอมพิวเตอร์ก็ยังอ่านคำสั่งเท่าเดิมไม่เร็วขึ้น
    ข้อที่ 3 ตอบไม่ได้เพราะการแทนรหัสแทนข้อมูลเป็นสิ่งที่เรากำหนดขึ้นเองเพื่อให้เราและคอมพิวเตอร์เข้าใจ

    ข้อ5. ตอบ1
    เพราะ ท่อนไม้เป็นสิ่งที่เราเอาเข้าไป ข้อ 2,3และ4 เป็น (process) ที่นำท่อนไม้ (input) เข้าไปแล้วจะได้ ท่อนไม้เล็กๆ (output)

    จะเห็นได้ว่า O-NET นั้มีความสำคัญต่อเรามาก เนื่องจากการสอบของ ม.6 สอบแค่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วคะแนนจะติดตัวเราไปตลอดชีวิต ไม่สามารถสอบอีกได้ และคะแนน O-NET นี้ก็ใช้ในส่วนของการสอบเข้ามหาลัยอีกด้วย ดังนั้น ทุกๆคนไม่ควรมองข้ามที่จะตั้งใจสอบ O-NET กันนะครับ

    ขอขอบคุณผู้รู้ที่ช่วยเฉลยข้อสอบอย่างละเอียดมา ณ ที่นี้


    วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

    สิ่งที่นักเรียนสนใจ(2) 
    การเพิ่มกล้ามท้องแบบเร่งด่วน

    ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่า กล้ามท้องของคนเรานั้น มีหลายประเภทมากไม่ว่าจะเป็นแบบ 4ลูก 6ลูก 8ลูก หรือจะเบี้ยวหรือยังไงก็แล้วแต่ ซึ่งในส่วนนี้ขอบอกเลยนะครับ ว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกันได้ เนื่องจากเป็นลักษณะของโครงสร้างกล้ามเนื้อของแต่ละคน ดังนั้น บางคนที่มีกล้ามท้อง4ลูก ก็ล้มเลิกที่อยากจะได้6ลูกแล้วนะครับ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะมีกี่ลูกก็รับรองได้ว่าเท่แน่นอนครับ

    ในตอนนี้ ขอแนะนำรูปร่างของมนุษย์คนเราก่อนนะครับ มนุษย์คนเรามีหุ่นอยู่3แบบหลักๆด้วยกัน ตามรูป
    แต่ละลักษณะ มีความหมายดังนี้

    หุ่นแบบ ectomorph

    เป็นหุ่นที่มีลักษณะในแนวยาว นั่นคือกล้ามเนื้อจะบาง แขนขาจะยาวบางดูเป็นธรรมชาติ เป็นหุ่นที่มีการจัดเก็บไขมันได้น้อยและสร้างกล้ามเนื้อได้ยาก

    หุ่นแบบ mesomorph

    เป็นหุ่นที่มีลักษณะกระดูกใหญ่ ไหล่กว้าง ลำตัวดูแข็งแรง ดูมีเอวมีโค้งเว้ามีทรง สามารถควบคุมระดับไขมันในร่างกายได้ง่ายและสร้างกล้ามเนื้อได้ดี

    หุ่นแบบ endomorph

    หุ่นแบบนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเลยนะครับ นั่นก็คือจะมีการสะสมไขมันเพิ่มได้ง่าย โดยเฉพาะที่เอวเนี่ย มาง่ายเหลือเกิน โครงสร้างของกระดูกก็ใหญ่และน้ำหนักก็ขึ้นง่ายเหลือเกิน
    ******ดังนั้นถ้าเรามีหุ่นแบบที่กล้ามเนื้อขึ้นได้ยาก ก็ไม่ต้องท้อที่จะเล่นกล้ามนะครับ******

    ท่าเพิ่มกล้ามท้องแบบเร่งด่วน

    ท่าที่ 1 Knee Up



     ฝึกให้ได้ 2 เซท เซทละ 15 - 30 ครั้ง 
            ท่าแรกลองไปหาม้านอนมาสักตัวเอาแบบที่มันขนานกับพื้น หรือจะแบบหัวขึ้น (incline) หรือ หัวลง (decline) ก็ได้ แล้วลองยกหัวให้สูงขึ้นจากม้านอน ท่านี้มันจะช่วยทำให้ออกแรงกล้ามท้องได้เต็มที่ การทำท่านี้จะมีผลลัพธ์คล้ายท่า hanging leg raise (ในท่าถัดไป) แต่ท่านี้ทำได้ง่ายกว่า คือแทนที่คุณจะต้องยกขาต้านแรงดึงดูดโลกในท่า hanging leg raise คุณก็นอนบนม้านอนในหน้านี้แทน ท่านี้คุณต้องงอหัวเข่า แล้วยกหัวเข่าขึ้นมาที่ศรีษะ และทำตัวให้โค้งเหมือนกับลูกบอล ค้างอยู่ในท่านี้สักพักก็หย่อนหัวเข่าลงไปที่เดิมจนก้นคุณสัมผัสกับม้านอน แล้วทำซ้ำอีก จงเอาใจใส่ว่าให้ใช้แรงจากหน้าท้องเท่านั้น หลีกเลี่ยงการออกแรงที่หลังส่วนล่าง 

    ท่าที่ 2 Crunch


    ฝึกท่านี้ อาทิตย์ละ 3 วัน วันละ 3 เซท เซทละ 15 ครั้ง
    และค่อยๆเพิ่มจำนวนครั้งไปเรื่อยๆจนถึง 40-50ครั้ง
    วิธีฝึกท่านี้คือ ม้วนหน้าท้องส่วนบน ให้เคลื่อนตัวขึ้นเป็นเส้นโค้ง พร้อมกับ หายใจออก หลักการคือ ให้เคลื่อนตัวเพียง 6 นิ้ว เท่านั้น อย่าเกินนี้ (วิทยาการสมัยใหม่ ได้แนะนำว่า การทำ ซิทอัพ ไม่ใช่ การออกกำลัง หน้าท้องที่ดี ใช้ท่านี้ดีกว่ามาก) นั่นคือหากดูไกลๆเหมือนกับคุณ ขยับแค่คอเท่านั้น นั่นแหละถูกต้องแล้ว เมื่อถึงจุดสูงสุดในจังหวะที่ 2 แล้ว ให้ค้างอยู่ประมาณ 1 วินาที แล้วจึงค่อยๆ วางตัวลงไป อยู่ท่าเดิมอย่างช้าๆ 

     ท่าที่ 3 HANGING LEG RAISE
     
    ทำ 3 เซท โดยใน 1 เซทจะทำให้ได้มากครั้งที่สุด เท่าที่จะทำได้
           (เคล็ดลับคือ ในเซทนั้นๆ ยิ่งคุณทรมานหน้าท้องคุณในท่านี้ได้มากเท่าไร ผลดีก็มากขึ้นเท่านั้น) 
    ในท่านี้ จะใช้น้ำหนักตัวเท่านั้น ไม่ใช้ลูกเหล็กอย่างอื่นถ่วงแต่อย่างใดเพราะแค่นี้ ก็เหนื่อยและหนักมากพอแล้ว พยายาม ให้ขาจนถึงปลายเท้า อยู่ในแนวเส้นตรงกันตลอด สิ่งที่ต้องระวังที่สุด คือ อย่าสวิงตัว หรือแกว่งเท้าช่วยเอาขาขึ้นอย่างเด็ดขาด ท่านี้จะให้ผลดีมาก ก็ต่อเมื่อคุณ เอาขาขึ้นและเอาขาลง
    อย่างช้าๆ 

    ปล.ถ้าอยากมีกล้ามท้องจนเห็นผล ควรทำอย่างสม่ำเสมอ และก็ขึ้นอยู่กับชีวิตประจำวันของแต่ละคนว่าในแต่ละวันว่าทำปฏิบัติตัวอย่างไรไปบ้าง

    ที่มา
      

    วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    โปรมแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (Java)
    ภาษา หมายถึง การสื่อสารกัน ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง เพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน และไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้น สัตว์เองก็เช่นกัน ที่ต้องมีการสื่อสารซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ ที่ต้องมีภาษาคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ผู้ใช้งานสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกันเอง

    java_logo

    Java คืออะไร
    Java หรือ Java programming language คือภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ พัฒนาโดย เจมส์ กอสลิง และวิศวกรคนอื่นๆ ที่บริษัท ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ภาษานี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้แทนภาษาซีพลัสพลัส C++ โดยรูปแบบที่เพิ่มเติมขึ้นคล้ายกับภาษาอ็อบเจกต์ทีฟซี (Objective-C) แต่เดิมภาษานี้เรียกว่า ภาษาโอ๊ก (Oak) ซึ่งตั้งชื่อตามต้นโอ๊กใกล้ที่ทำงานของ เจมส์ กอสลิง แล้วภายหลังจึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ “จาวา” ซึ่งเป็นชื่อกาแฟแทน จุดเด่นของภาษา Java อยู่ที่ผู้เขียนโปรแกรมสามารถใช้หลักการของ Object-Oriented Programming มาพัฒนาโปรแกรมของตนด้วย Java ได้

    ภาษาจาวา (Java Language) คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท ซันไมโครซิสเต็มส์ เป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP : Object-Oriented Programming) โปรแกรมที่เขียนขึ้นถูกสร้างภายในคลาส ดังนั้นคลาสคือที่เก็บเมทอด (Method) หรือพฤติกรรม (Behavior) ซึ่งมีสถานะ (State) และรูปพรรณ (Identity) ประจำพฤติกรรม (Behavior)

    ภาษา Java เป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ( OOP : Object-Oriented Programming) โปรแกรมที่เขียนขึ้นถูกสร้างภายในคลาส ดังนั้นคลาสคือที่เก็บเมทอด (Method) หรือพฤติกรรม (Behavior) ซึ่งมีสถานะ (State) และรูปพรรณ (Identity) ประจำพฤติกรรม (Behavior)

    ข้อดีของ ภาษา Java
    – ภาษา Java เป็นภาษาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์ ซึ่งเหมาะสำหรับพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อน การพัฒนาโปรแกรมแบบวัตถุจะช่วยให้เราสามารถใช้คำหรือชื่อ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบงานนั้นมาใช้ในการออกแบบโปรแกรมได้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
    – โปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Java จะมีความสามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ไม่จําเป็นต้องดัดแปลงแก้ไขโปรแกรม เช่น หากเขียนโปรแกรมบนเครื่อง Sun โปรแกรมนั้นก็สามารถถูก compile และ run บนเครื่องพีซีธรรมดาได้
    -ภาษาจาวามีการตรวจสอบข้อผิดพลาดทั้งตอน compile time และ runtime ทำให้ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในโปรแกรม และช่วยให้ debug โปรแกรมได้ง่าย
    – ภาษาจาวามีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษา C++ เมื่อเปรียบเทียบ code ของโปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยภาษา Java กับ C++ พบว่า โปรแกรมที่เขียนโดยภาษา Java จะมีจํานวน code น้อยกว่าโปรแกรมที่เขียนโดยภาษา C++ ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าและลดความผิดพลาดได้มากขึ้น
    – ภาษาจาวาถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงตั้งแต่แรก ทำให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยจาวามีความปลอดภัยมากกว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้น ด้วยภาษาอื่น เพราะ Java มี security ทั้ง low level และ high level ได้แก่ electronic signature, public andprivate key management, access control และ certificatesของ
    -มี IDE, application server, และ library ต่าง ๆ มากมายสำหรับจาวาที่เราสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการซื้อ tool และ s/w ต่าง ๆ

    ข้อเสียของ ภาษา Java
    -ทำงานได้ช้ากว่า native code (โปรแกรมที่ compile ให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่อง) หรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น อย่างเช่น C หรือ C++ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาจะถูกแปลงเป็นภาษากลาง ก่อน แล้วเมื่อโปรแกรมทำงานคำสั่งของภาษากลางนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นภาษาเครื่องอีก ทีหนึ่ง ทีล่ะคำสั่ง (หรือกลุ่มของคำสั่ง) ณ runtime ทำให้ทำงานช้ากว่า native code ซึ่งอยู่ในรูปของภาษาเครื่องแล้วตั้งแต่ compile โปรแกรมที่ต้องการความเร็วในการทำงานจึงไม่นิยมเขียนด้วยจาวา
    -tool ที่มีในการใช้พัฒนาโปรแกรมจาวามักไม่ค่อยเก่ง ทำให้หลายอย่างโปรแกรมเมอร์จะต้องเป็นคนทำเอง ทำให้ต้องเสียเวลาทำงานในส่วนที่ tool ทำไม่ได้ ถ้าเราดู tool ของ MS จะใช้งานได้ง่ายกว่า และพัฒนาได้เร็วกว่า (แต่เราต้องซื้อ tool ของ MS และก็ต้องรันบน platform ของ MS)

    ความแตกต่างระหว่างจาวาแพลตฟอร์ม และ ภาษาจาวา
    ภาษาจาวานั้น คือภาษาสำหรับใช้เขียนโปรแกรมภาษาหนึ่ง ดังที่ได้อธิบายไปข้างต้น ส่วน จาวาแพลตฟอร์มนั้น คือสภาพแวดล้อมสำหรับการใช้งานโปรแกรมจาวา โดยมีองค์ประกอบหลักคือจาวาเวอร์ชวลแมชีน (Java virtual machine) และ ไลบรารีมาตรฐานจาวา (Java standard library) 

    จุดเด่นของภาษาจาวา
    –  ความง่าย (simple)
    –  ภาษาเชิงออปเจ็ค (object oriented)
    –  การกระจาย (distributed)
    –  การป้อ้องกันการผิดพลาด (robust)
    –  ความปลอดภัย (secure)
    –  สถาปัตัตยกรรมกลาง (architecture neutral)
    –  เคลื่อนย้ายง่าย (portable)
    –  อินเตอร์พ์พรีต (interpreted)
    –  ประสิทธิภาพสูง (high performance)
    –  มัลติเธรด (multithreaded)
    –  พลวัต (dynamic)
    ที่มา